เทศน์เช้า

ชีวิตกับเวลา

๒๑ ต.ค. ๒๕๔๔

 

ชีวิตกับเวลา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ลูกปืนน่ะ เปรียบเหมือนลูกปืน ลูกปืนยิงออกไปในกาลเวลา ไม่กี่วินาทีมันก็ตก ชีวิตเราก็เหมือนการเกิดมานี่มันเข้าไปในกาลเวลา กาลเวลาของเราน่ะ ๘๐ ปี ๑๐๐ ปี แล้วแต่คนจะอายุเท่าไหร่ เหมือนชีวิตยิงออกไป ยิงออกไปแล้วนี่เหมือนลูกปืน ถ้าชีวิตนี้เกิดเหมือนลูกปืน ยิงออกไปอยู่ในกาลเวลา นี้เราไปตื่นกับกาลเวลา มันต้องตกไปแน่นอน

แต่ถ้าเปรียบอีกอย่างหนึ่ง ชีวิตนี้เหมือนเครื่องบิน เครื่องบินเห็นไหม มันขึ้นมันลง มันเติมน้ำมันได้ มันซ่อมเครื่องมันได้ แล้วมันก็บินไปในอากาศได้ มันบินออกไปแล้วมันขึ้นมามันก็บินไปได้ คือว่ามันสามารถทรงตัวอยู่ในอากาศได้นาน

อันนี้ก็เหมือนกัน บุญกุศลของเรา เราทำบุญกุศลของเรา เราสะสมของเรานี่ มันเป็นบุญกุศลของเรา แล้วถ้าเราสร้างบุญกุศลแล้วทำไมมันต้องเป็นไปอีกล่ะ? เวลาเราสร้างบุญกุศล คนที่ว่าทำบุญมากทำไมมันประสบอุบัติเหตุ มันถึงเป็นอะไรไป ไอ้นี่ก็เหมือนเครื่องบินตก เห็นไหม เครื่องบินตกเครื่องบินประสบอุบัติเหตุได้ มันเรื่องของกรรม ถ้ากรรมมันเป็นสภาพแบบนั้นแล้วมันต้องรับสภาวะกรรมออกไป

นี่เราก็เหมือนกัน ถ้าชีวิตเราคนมันไม่สนใจเรื่องศาสนาเลย ชีวิตนี้เปรียบเหมือนลูกปืน มันยิงไป แรงขับออกมา แรงขับของดินดำที่มันขับออกไปนี่มันก็เหมือนขับออกมา เราได้บุญกุศลเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วไม่สนใจ มันก็เป็นไปประสาลูกปืนน่ะ แว็บไป มันไม่ได้ปรับตัวมันเองเลย แต่เครื่องบินมันได้ปรับตัวมันเอง เห็นไหม มันได้ส่งเสริมตัวมันเอง มันได้สะสมของมัน เพราะว่ามันแก้ไขได้ มันบินขึ้นใหม่ได้ มันลงแล้ว มันจอดแล้ว มันก็บินขึ้นใหม่ได้ มันก็ขึ้น ๆ ลง ๆ อำนาจของวาสนา อำนาจของบุญกุศล บุญกุศลที่เราสร้างสมนี่ มันก็เหมือนกับเราเติมน้ำมัน เราเติมเครื่องบินของเราไป ชีวิตนั้นมันเป็นไป

กาลเวลานั้นเราไปตื่นกับมันไม่ได้หรอก สิ่งที่เป็นกาลเวลาเราตื่นกับมันเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมา กาลเวลามันเป็นกาลเวลาไป มันต้องเป็นไปอย่างนี้ โลกเป็นอย่างนี้ เราจะมีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิตอยู่โลกต้องเป็นแบบนี้ ถึงว่าไม่ตื่นกับโลกเขาไป อาศัยโลก อาศัยอยู่กับโลกเขาไป แต่มันไม่ไปยึดโลกเขามากนัก มันถึงได้ไม่ต้องมือพองไง ถ้าเราจับยึดมากมือเราพองนะ ชีวิตนี้เราไปยึดมั่นมากกับเรื่องของโลกเขาไว้นี่ มันจะมีความรู้สึกว่าทุกข์ยากลำบากเหมือนกัน ถ้าชีวิตนี้เราอาศัยไปประสาโลกนี่มือเราไม่พอง เราเข้าใจโลก เราอยู่กับโลกไป โลกเป็นแบบนั้น

นี่ประสาธรรมะของญาติโยมนะ ธรรมะของญาติโยมคือการปรับความคิดเท่านั้นเอง ถ้าปรับความคิดได้มันจะตื่นเต้นมาก ธรรมมันเกิด ถ้าธรรมมันเกิดความคิดใหม่มันจะเกิด ถ้าธรรมะไม่เกิด ความคิดดั้งเดิมมันอยู่อย่างนี้ มันไม่เกิดขึ้นมา แล้วถ้าความคิดใหม่มันเกิดขึ้นมา มันจะย้อนกลับมาเลยว่า “เมื่อก่อนเราทำไมคิดอย่างนี้ไม่ได้ เมื่อก่อนเราคิดอย่างนี้ไม่ได้”

นี่กิเลสมันบังไว้ มันบังความคิดของเรานี่ บังเอาไว้ ถ้ามันเปิดขึ้นมาได้นะ มันก็เหมือนเติมน้ำมันเครื่องบินน่ะ น้ำมันเครื่องบินเติมขึ้นไปเต็มลำนี่ มันจะไปไหนก็ไปได้ แล้วมันอยู่บนอากาศ เห็นไหม เพราะน้ำมันมันจะหมดมันต้องร่อนลง อันนี้ก็เหมือนกัน เวลามันทุกข์ขึ้นมามันทุกข์ในหัวใจนี่ มันไม่มีที่ร่อนลง แต่ถ้ามันเติมน้ำมันเข้าไปในเครื่องบินได้ มันก็เหมือนกับมีความคิดใหม่เกิดขึ้น ธรรมมันเกิดขึ้น

ถ้าธรรมมันเกิดขึ้นมานี่ มันจะเข้าใจเรื่องประสาโลกแล้วมันจะปล่อยวางไป มันมีความสุข มันมีความเข้าใจในเรื่องของโลกเขา แล้วมันปล่อยวางโลกเขาไว้ตามความเป็นจริงได้ มันปล่อยวางโลกเขาแล้วมันย้อนกลับมา มันก็เหมือนกับสภาวธรรมที่ตามความเป็นจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าไว้ “รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร” เป็นบ่วงของมารเฉย ๆ แล้วเราไปติดบ่วงของมาร ติดบ่วงของมารแล้วเราก็ติดของมันแล้ว เราก็ต้องเจ็บปวดแสบร้อนไปกับมัน

แต่ถ้าเราปล่อยวางมันเข้ามาได้ เราปล่อยวางเรื่องรูป รส กลิ่น เสียงเข้ามาได้ เห็นไหม มันก็ปล่อยวางเข้ามา มันก็เข้าใจเรื่องของโลกเขา นี่ธรรมของคฤหัสถ์ ธรรมของฆราวาส มันเป็นความเข้าใจเฉย ๆ ถ้าเป็นความเข้าใจเฉย ๆ ธรรมมันเกิด ๆ มันมีความคิดใหม่เกิดขึ้นมา นี่ธรรมมันเกิดขึ้นมา ถ้าธรรมมันเกิดขึ้นมาเราติดในธรรมอันนั้น ธรรมมันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร? เพราะเราศึกษา เราเล่าเรียน เราศึกษาแล้วเราประพฤติปฏิบัติของเรา เราค้นคว้าของเรา นี่ธรรมมันจะเกิดมันเกิดเพราะเหตุนั้น

แต่ถ้าเราไปคิดถึงธรรมมันเกิด แล้วอยากให้ธรรมมันเกิดตลอดเวลา...มันเกิดไม่ได้หรอก สิ่งใดขึ้นมาเราไปเอาที่ผลไม่ได้ พระพุทธเจ้าให้สาวไปหาเหตุ สิ่งใดเกิดมามันเกิดแต่เหตุ ถ้าเราสาวไปหาเหตุเราจะไปถึงที่เหตุนั้น เราจะได้ผลของมัน ถ้าเราไปเอาแต่หวังผลของมัน หวังผลของบุญ เห็นไหม ต้นไม้เรารดที่โคนต้น แล้วมันจะออกดอกออกผลมันที่ปลายต้น ที่ขั้วของมัน แต่เรารดน้ำต้นไม้เราต้องรดที่โคนต้น เราไม่หวังผลอะไรทั้งสิ้น

นี่ก็เหมือนกัน ทำบุญกุศลขึ้นมา เราหวังบุญกุศลของเราขึ้นมา แต่ผลมันจะเกิดขึ้นมาจากความเป็นบุญกุศลของเราขึ้นมา เหตุนั้นเราสร้างเหตุขึ้นไป แล้วผลจะตามมา ถ้าผลมันตามมา ชีวิตนี้มันก็เข้าใจชีวิต มันเป็นการกระทำของเรา เปลือกของเรา เปลือกคือการกระทำจากภายนอก แล้วการกระทำจากภายใน ภายในความเข้าใจมันสะสมลงที่ใจ ความสะสมลงที่ใจ เห็นไหม ธรรมมันเกิดมันเกิดอย่างนั้น ถ้าธรรมมันเกิดในหัวใจ หัวใจมันเกิดขึ้นมา มันจะมีความสุขขึ้นมา

มันเข้าใจตามความเป็นจริง ความเข้าใจความเป็นจริงอันนั้นน่ะเป็นธรรม เป็นธรรมของเขา แล้วจิตมันก็สงบลง ความสงบของใจนี่ แล้วมันก็เข้าใจเรื่องของกาลเวลา นี่ชีวิตอยู่กับกาลเวลา กาลเวลากลืนกินชีวิตของเราไป แล้วเราก็ตื่นไปกับกาลเวลานั้น เราก็ตื่นกับโลกไป ตื่นโลกตื่นสงสาร มันเป็นไปตามสภาวะตามความเป็นจริงของมันอยู่แล้ว ไม่ตื่นกับโลกตื่นสงสาร มันต้องตื่นเปิดตาของใจ เปิดตาของใจให้มันตื่นตัวขึ้นมา ให้มันเข้าใจความเห็นของมัน ถ้าเข้าใจความจริงของมันนี่ สมบัติอันประเสริฐมันอยู่ตรงนี้ไง

สมบัติอันประเสริฐคือใจมันสงบเข้ามา มันจะเห็นเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา ถ้าเราไม่เห็นเป็นชั้นเป็นตอนเราจะตื่นนะ ตื่นตั้งแต่โลกขึ้นมา แล้วก็มาตื่นธรรม ตื่นธรรมหมายถึงว่า พอมันเข้าใจรู้สิ่งใดเท่านั้นน่ะ มันเข้าใจว่ามันรู้สิ่งนั้น ๆ เข้าใจว่ามันรู้ มันตื่นเต้นมาก ความตื่นเต้นนั่นน่ะ มันก็ติดข้องอยู่ตรงนั้น แต่ความก้าวเดินไปของหัวใจมันต้องมีขึ้นไปอีก เห็นไหม ความสุขของใจ ความพอใจมันความพอใจ

แต่มันเข้าไม่ถึงความสงบของใจ มันยังไม่ได้ความสงบของใจ ความสงบของใจมันต้องสะสม ความสะสมความสงบของใจเข้าบ่อยครั้ง ๆ เข้า มันถึงจะเดินอริยมรรคไง กัลยาณปุถุชน ปุถุชนคนหนาด้วยกิเลส มันก็วนไปในกิเลส มันไม่สามารถบังคับตัวเองได้ กัลยาณปุถุชนสามารถบังคับตัวเองได้ สามารถบังคับความคิดของตัวเอง ไม่ให้ความคิดของตัวเองฉุดลากเราไปจนเกินกว่าเหตุ

ถ้ากัลยาณปุถุชนมันถึงจะยกขึ้น ถ้าใจยกขึ้นวิปัสสนายกขึ้นอย่างไร ยกขึ้นในอะไร? ยกขึ้นในความเห็นอันนั้นน่ะ ความเห็นเห็นให้มันถูกต้อง เห็นจากความเป็นจริงจากความเข้าใจคืออารมณ์ความรู้สึก ความเข้าใจนี้เป็นอารมณ์ความรู้สึก ความเห็นตามความเป็นจริงเห็นจากภายใน เห็นจากภายในนี่ลึกเข้าไปอีก นี่นักปฏิบัติ มันถึงว่าสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา

แต่เราพูดกันเรื่อย ๆ ไป มันก็เป็นการคาดการหมาย การคาดอารมณ์ความมั่นหมาย อารมณ์ความมั่นหมายว่าอันนี้เป็นสุตมยปัญญา อันนี้เป็นจินตมยปัญญา อันนี้เป็นภาวนามยปัญญา เป็นการคาดหมายไปทั้งหมดเลย มันถึงว่าไม่เป็นความเป็นจริง ไม่เป็นความเป็นจริงเพราะเป็นความคาดหมายของใจ เพราะว่าจิตมันไม่สงบถึงที่ของมัน มันจะสงบถึงที่เข้าไป มันละเอียดเข้าไป ๆ จนกว่ามันจะชำระกิเลสในหัวใจของตัวเองได้

ชำระกิเลสในหัวใจของตัวเอง เห็นไหม ถ้าชำระกิเลสในหัวใจของตัวเอง หมดสิ้นจากกิเลสในหัวใจของตัวเอง ใจมันก็เหมือนกับเครื่องบิน เป็นเครื่องบินที่ว่าไม่ต้องการเวล่ำเวลา เวล่ำเวลาจะไม่มีอำนาจอันนั้นเลย เวล่ำเวลานี่เป็นผลของวัฏฏะนะ เราเสวยภพชาติไหน ดูอย่างยิงลูกปืนออกไปนี่ มันก็เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานเกิดขึ้นมา มันใช้ชีวิตของมันหมดไปอย่างนั้น แล้วสัตว์เดรัจฉานที่ว่าอายุน้อย ๆ ขึ้นมานี่ อย่างพวกแมลงต่าง ๆ แมลงต่าง ๆ อายุขัยเขาสั้น อย่างพวกตัวหนอนพวกอะไรนี่ เกิดมาแป๊บเดียว เหมือนกับเห็ดเกิดขึ้นมาชั่วเช้าชั่วบ่าย มันก็ต้องโรยราไป

นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตกาลเวลา ภพชาติมันเข้ามาเพราะวัฏฏะมันเข้ามากั้น เข้ามาตามสภาวะเราเกิดเป็นอะไร แต่ถ้าเราทำใจของเราสิ้นจากกิเลสแล้วนี่ กาลเวลาเห็นไหม มันจะวางกาลเวลาอันนั้นไว้เลย เพราะกาลเวลานี่เป็นสมมุติ สมมุติขึ้นมาเป็นเวล่ำเวลาขึ้นมา สมมุติ ย้ายเวลาก็ได้ เลื่อนเวลาก็ได้ ถ้าจะเลื่อนเวลากัน เขาเลื่อนเวลา เขาย้ายเวลากันไป นั่นเป็นสมมุติ

แต่จิตที่มันพ้นกิเลสมันเป็นวิมุตติ สิ่งที่เป็นวิมุตติไปมันก็อยู่ในใจของมันอย่างนั้น ถึงว่ามันคงที่ของมันอยู่อย่างนั้น แล้วมันถึงว่ากาลเวลานี้เป็นส่วนกาลเวลา มันพ้นจากกาลเวลานี้ ไม่มีอำนาจเข้าไปเหนือสิ่งนั้นได้ แต่ถ้าสิ่งนั้นมันยังเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน ใจยังสถิตอยู่ในร่างกายอย่างนั้น มันต้องอาศัยมันนะ เศษส่วนคือสิ่งต้องอาศัยกันไป อาศัยคือว่า ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์นี้เป็นภาระไง

ความเป็นภาระเป็นเกาะเกี่ยวกับโลก หมายถึงเกิดสภาวะของมนุษย์ แล้วประพฤติปฏิบัติจนกิเลสสิ้นไปจากดวงใจดวงนั้น แต่ร่างกายยังมีอยู่ มันก็ต้องยังเป็นเวลาก้ำกึ่งของเป็นโลกของมนุษย์อยู่ เห็นไหม โลกของมนุษย์น่ะถึงใช้เวลาสิ่งนั้นไป แต่ใจที่ดวงใจดวงนั้นมันลึกกว่านั้น เพราะอะไร? เพราะเราใช้เวลา ใช้ในเรื่องของมนุษย์นี้มันใช้เรื่องของขันธ์ ใช้เรื่องของสัญญา ใช้เรื่องของขันธ์ ๕ เป็นการสื่อกัน แต่มันสามารถตัดขาดจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่ใจ ใจถึงว่าหลุดพ้นออกไป นั่นน่ะมันถึงพ้นออกไปจากกาลเวลา

กาลเวลาของชีวิตเรานี่เปรียบเหมือนเครื่องบินที่ขึ้นลงได้ เปรียบเหมือนการประพฤติปฏิบัติที่ว่าเราประพฤติปฏิบัติ เวลาเจริญขึ้นเจริญลง เห็นไหม เวลาเจริญขึ้นมันก็จะดีขึ้น ใจจะดีขึ้น เวลามันเสื่อมลงมันก็เสื่อมลงไป เสื่อมลงไปเพราะมันไม่รักษาเหตุของมัน จิตจะเสื่อมได้ถ้าเราไม่รักษาเหตุของมัน

เรารักษาเห็นไหม เตาไฟน่ะ ถ้าเรารักษาเตาของเรา เตาไฟอันนั้นมันก็จะลุกโชติช่วงตลอดเวลา เราไม่รักษาเตาไฟของเรา เราปรารถนาแต่ไฟจะให้มันเกิดขึ้น ให้อยู่อย่างนั้นเหมือนกัน ใจเหมือนกัน มันเจริญขึ้นมานี่อยู่ที่เราบำรุงรักษา อยู่ที่เราศึกษาเล่าเรียน อยู่ที่เราหมั่นประพฤติปฏิบัติ หมั่นมีสติสัมปชัญญะควบคุมมัน ถ้าควบคุมใจของเราได้ก็ควบคุมไฟของเราได้ ไฟของเรามันลุกโชติช่วงอยู่น่ะ “ตบะธรรม” ตบะธรรมมันเผาผลาญกิเลสอยู่ในหัวใจตลอดเวลา มันเผาผลาญกิเลสในหัวใจนะ ถ้าตบะธรรมอันนี้มันเจริญอยู่

ถ้าตบะธรรมไม่เจริญอยู่นี่ กิเลสมันมีอำนาจเหนือกว่า มันจะทำลายการประพฤติปฏิบัติเราให้ล้มลุกคลุกคลานไป ถ้าล้มลุกคลุกคลานไปนี่ มันเกิดขึ้นได้ น้ำมันเติมใส่เครื่องบินไม่เข้า น้ำมันใส่เครื่องบินไม่ได้ เครื่องบินไม่มีน้ำมัน เครื่องบินก็ต้องร่อนลง ต้องหยุดไปโดยธรรมชาติของมัน ใจเป็นแบบนั้น ชีวิตเป็นแบบนั้น กาลเวลาเป็นแบบนั้น กาลเวลาที่เราจะรื้อ เราจะคงที่ไปกับกาลเวลานั้น

ย้อนกลับมาดูใจ ใจมันซับสิ่งต่าง ๆ ไว้ในหัวใจ มันถึงจะมองเห็นเรื่องกาลเวลาเป็นวันคืนล่วงไป ๆ มันย้อนกลับมาเห็นความละเอียดของใจ ใจมันย้อนเข้ามาดูของตัวเราเอง สรรพสิ่งในโลกนี้มันก็ต้องแปรสภาพเสื่อมสลายไปเหมือนกันทั้งหมด แล้วมันเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาในวัตถุ วัตถุเข้ามาเจริญ มันซับสมกันมา สติปัญญาของมนุษย์สร้างสมขึ้นมา เราก็ไปตื่นตรงนั้น เราไปเห็นตรงนั้นว่าเจริญ เห็นตรงนั้นไม่เจริญ

แต่ใจคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย คนที่จะหลุดพ้นออกไป คนที่กำลังจะตายไปนี่ เขาไม่คิดสิ่งนั้นเลย เขาห่วงแต่ลมหายใจของเขาเข้าออกได้หรือเข้าออกไม่ได้ ถ้าลมหายใจยังเข้าออก ยังหายใจอยู่ตลอดเวลา ชีวิตยังสืบต่อไป ถ้าลมหายใจขาดสิ้นไป เห็นไหม สรรพสิ่งในโลกนี้ก็มีอยู่อย่างนั้น เขาต้องสละสิ่งนั้นไป โลกนี้ถึงเป็นแบบนี้

เราต้องเกิดมาในวัฏวน เราต้องเวียนตายเวียนเกิดมาพบสภาวะอย่างนี้โดยแน่นอน เราจะต้องพบสภาวะสิ่งนั้นโดยแน่นอนเพราะมันต้องเกิดต้องตายอยู่แล้ว การเกิดการตายนี้ในศาสนาสอนเรื่องบุพเพนิวาสานุสติญาณ เรื่องอดีตชาติ จุตูปปาตญาณ เรื่องการเกิดในภพชาติต่าง ๆ อาสวักขยญาณในวิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำเร็จวิชานี้ขึ้นมาโดยความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางไว้ตามความเป็นจริงอันนี้แล้ว แล้วเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ

ฉะนั้นถ้าเราเชื่อ เราก็ควบคุมใจของเรา แล้วเราก็พยายามทำของเราให้ได้ ถ้าทำใจของเราได้ เราก็จะประเสริฐในตัวของเรา ถ้าเราทำใจของเราไม่ได้ เราก็เวียนตายเวียนเกิดไปแบบนั้น เวียนตายเวียนเกิดไปในสภาวะตามกิเลสพาไป กับเวียนตายเวียนเกิดโดยสภาวธรรม สภาวธรรมคือบุญกุศลพาเกิดพาตาย ถ้าบุญกุศลพาเกิดพาตายนี่มันยังทำให้เรามีที่พึ่งที่อาศัย ถ้ากิเลสพาเกิดพาตายก็แล้วแต่อำนาจของเขาไป ตกต่ำไปเรื่อย ๆ ชีวิตนี้ตกต่ำไปเรื่อย ที่จอดของเครื่องบินจะไม่ดีตลอดไป ถ้าที่จอดของเครื่องบินดีมันจะขึ้นได้อีก ถ้าสนามบินไม่ดีทำให้เครื่องบินนี้จอดแล้วจะขึ้นอีกไม่ได้เลย จะอยู่อย่างนั้น แต่เขาก็ต้องเกิดต้องตายตามสภาวะ เพราะเครื่องบินนี้พูดถึงวัตถุ มันต้องเป็นอย่างนั้น

แต่เรื่องของจิตนี้ไม่มีที่สิ้นสุด นรกเบียดกันอยู่อย่างนั้นขนาดไหนก็ต้องเบียดกันอยู่อย่างนั้น มันเป็นเรื่องของกรรม อำนาจของกรรม สัตว์นรกเบียดกันอยู่ขนาดไหนมันก็อยู่ได้เห็นไหม มันไม่แตกไม่ทำลายไป แต่นี้มันเป็นเรื่องของนามธรรม เกิดตายในนั้น โดนทำลายในนั้น แล้วเกิดขึ้นมาใหม่ ก็ต้องเกิดตายอยู่ในนั้นตลอดไป ไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าจะหมดกรรม หมดกรรมก็เกิดขึ้นสภาวะใหม่ ๆ

สวรรค์ก็เหมือนกัน มนุษย์ก็เหมือนกัน ทุกอย่างเวียนตายเวียนเกิดหมด เวียนตายเวียนเกิดหมายถึงว่า กาลเวลาก็หมุนไป จิตนี้ก็หมุนไป วันเวลาก็หมุนไป ทุกอย่างหมุนไป เราหมุนไปในกาลเวลาทั้งหมด นี้ถ้าเราไม่ตื่นตัวขึ้นมา เราก็ต้องหมุนไปตามกาลเวลา ถ้าเราตื่นตัวขึ้นมา เราไม่ตกไปเหมือนกับลูกปืนที่ยิงออกไปนั้น ลูกปืนยิงออกไปแล้วมันก็ต้องตกไปโดยที่ว่ามันไม่สามารถแก้ไขตัวมันเองได้ ถ้าเป็นเครื่องบินยังมีโอกาสแก้ไข แล้วก็เป็นใจของเรา ถ้าเราทำใจของเราได้จะมีโอกาสแก้ไข เอวัง